Glasgow l เมื่อความเจริญมาปะกับความทันสมัยที่กลาสโกว์ l รีวิวฉบับที่ 19
- Angklish Kittichai Singha
- Nov 22, 2015
- 1 min read

กลาสโกว์เมืองไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของสก๊อตแลนด์ที่ใครได้มาเยือนต้องอยากอยู่ต่อกันแน่นอนเลยครับ แม้ว่ากลาสโกว์จะไม่ใช่เมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่โบราณ เราจึงจะได้เห็นบ้านเรือนตั้งแต่ยุคที่พวกนอร์มันจากฝรั่งเศส ซึ่งได้ปกครองเกาะบริเตนใหญ่อยู่ช่วงหนึ่งได้สร้างไว้ ไปพร้อมๆ กับความทันสมัยของเมือง และที่สำคัญกลาสโกว์ยังเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการศึกษาที่กระจายอยู่ทั่วเกาะบริเตนแห่งนี้อีกต่างหาก

จากตอนกลางของอังกฤษพวกเรานั่งรถไฟกันสบายๆ รถไฟอังกฤษทันสมัย นั่งสบาย แต่ไม่ค่อยมีคนใช้เดินทางเท่าไร อาจเป็นเพราะช่วงกลางวันด้วยมั๊งครับ มองแต่ละเมืองผ่านไปกับอากาศที่ยิ่งหนาวเย็นเมื่อยิ่งขึ้นสูงขึ้นไปทางตอนเหนือของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างย่ิงภูมิประเทศของสก๊อตแลนด์ที่เต็มไปด้วยที่ราบสูงและภูเขามากมายสมชื่อชาว Highlands แต่ที่กลาสโกว์นั้น อาจจะเรียกได้ว่ายังไม่ถึงไฮแลนด์ดีก็ว่าได้ เพราะอยู่ตรงที่ราบระหว่างอังกฤษและสก๊อตแลนด์ บนคอคอดที่อีกมุมหนึ่งคือนครเอดินเบอระ ด้วยความที่อยู่ใกล้อังกฤษและตกอยู่ใต้อิทธิพลของอังกฤษมาช้านาน บางครั้งเวลาพูดคุยกับคนสก๊อตเอง เขาก็ไม่อยากนับสองเมืองนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสก๊อตแลนด์เท่าไร เพราะมันอังกรี๊ดอังกฤษเหลือเกิน และก็จริงครับ เมื่อรถไฟมาถึงสถานีรถไฟกลาสโกว์ ภาพเมืองส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็ไม่ต่างจากลอนดอนเท่าไรนัก แต่ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยลักษณะของตึกรามบ้านช่องที่ยังสตาฟไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อนอยู่ดี

จริงๆ ที่กลาสโกว์นั้นถือเป็นเมืองที่ม่ีขนาดใหญ่ที่สุดของสก๊อตแลนด์ ด้วยประชากรกว่าหกแสนคนในตัวเมือง แต่ถ้านับเมืองบริวารรอบนอกที่เข้ามาทำงานในกลาสโกว์ก็ร่วมสองล้านคน รถที่นี่จึงแออัดและติดขัด แต่ก็ไม่ถึงเหมือนกับบ้านเรานัก ที่นี่ยังมีระบบรถไฟใต้ดินเป็น loop วิ่งวนเป็นวงกลม แต่ไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไรนักครับ เพราะยังไม่ได้ขยายอะไรไปมากมาย เป็นการเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันตกของเมืองที่เป็นย่านธุรกิจสมัยใหม่ และมหาวิทยาลัย กับด้านตะวันออกที่เป็นเมืองเก่าและเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองเสียมากกว่า และยังไงก็ไม่ต้องกลัวหลงครับ เพราะมันวิ่งเป็นลูปอยู่แล้ว

กลาสโกว์อยู่คู่กับสก็อตแลนด์มานานไม่แพ้เอดินเบอระอันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ได้รับการยกย่องมากมายทั้งเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมยุดรป เมืองแห่งสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่ดี และยังได้เป็นเมืองแห่งการสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก้อีกด้วย กลาสโกว์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไคลด์ (River Clyde) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้กลายเป็นเมืองท่าการพาณิชย์และอุตสาหกรรมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โน่นกันเลย แต่ตัวเมืองกลาสโกว์นั้นมีอายุมามากกว่าพันปี โดยจักรวรรดิโรมันโบราณสร้างเมืองกลาสโกว์ขึ้นเป็นเมืองหน้าด่านป้องกันพวกแกลลิคทางตอนเหนือ โดยปัจจุบันเรายังสามารถเห็นแนวกำแพงและกำแพงโบราณแอนโทนีนที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน

ด้วยความที่อยู่เหนือขึ้นไปเยอะ หากวัดตามเส้นรุ้งก้ออยู่เหนือกว่าฮอกไกโดขึ้นไปอีก อุณหภูมิที่นี่ยังเฉลี่ยเรียกได้ว่าหนาวเย็นตลอดทั้งปี ขนาดเดือนเมษาที่พวกไปกันนั้นอุณหภูมิประมาณสิบกว่าองศา เรานี้หนาวกันงั่กๆ แต่คนที่โน่นเขาเดินใส่เสื้อเชิ้ตกันสบายชิลๆ เดือนที่น้อนและน่าเที่ยวที่สุดก็คือฤดูใบไม้ผลิช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายนอากาศกำลังเย็นสบายประมาณ 15-18 องศา (แต่หนาวกว่าลำปางแหงมๆ) หน้าร้อนประมาณกรกฎา สิงหา ซึ่งเริ่มจะมีฝนมากขึ้น แต่เนื่องจากเกาะบริเตนคือเกาะที่หันหามหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่เป็นภูมิภาคที่มีอากาศแปรปรวนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ฝนจึงอาจตกได้ทุกวันตลอดเวลาที่กลาสโกว์ครับ

มาถึงกลาสโกว์ไม่ไปเที่ยวย่านตะวันตกสุด (Westend) คงไม่ได้ เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ดีที่หนึ่งของโลก หรือ University of Glasgow นั้นเอง ช่วงที่เราไปอากาศดีเอามากๆ ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินที่สถานี Hillhead ก็เรียกว่าเข้าถึงบริเวณมหาวิทยาลัยแล้ว ก็เหมือนเดินในจุฬาหรือธรรมศาสตร์ ภาพของนักเรียนนักศึกษา กีฬาต่างๆ ก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่ต่างกันคงเป็นสถาปัตยกรรมของตัวอาคารหลัก และอาคารต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตักศิลาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ตัวมหาวิทยาลัยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1451 หรือโน่นล่ะ สมัยที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงครั้งที่หนึ่งให้กับพระเจ้าบุเรงนองกันเลยทีเดียว สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบนีโอโกธิคเสียส่วนใหญ่



ไม่รู้ว่าที่ยุโรป ที่เด็กๆ จะฉลาดและรอบรู้นอกจากการเปิดกว้างทางวิชาการแล้ว จะเป็นเพราะอากาศหรือเปล่าหนอ เพราะที่นี่อากาศดีเหมาะกับการเปิดหน้าต่างบ้านอ่านหนังสือดีๆ จริงๆ แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่ใช่ เพราะอย่างตอนหน้าหนาว ลมเย็นสบาย ผมเปิดหน้าต่างรับลมหนาว หอมไอแดดอุ่นๆ หยิบหนังสือดีๆ ขึ้นมาอ่านทีไร ไม่เกินหกบรรทัด มีต้องผลอยหลับทุกครั้งไปสิ
จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์เดินผ่านสวนสาธารณะที่ชื่อว่า Kelvingorve Park ซึ่งจะเป็นทางเดินลงเนินเขากลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ที่นี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมได้เห็นซากุระกันเป็นสวนๆ แทนที่จะได้เห็นที่ญี่ปุ่น เพราะยังไม่เคยไปญี่ปุ่นในหน้าซากุระจริงๆ เสียที ทำให้อยากเห็นซากุระแท้ๆ ที่ญี่ปุ่นสักครั้ง สีชมพูกับท้องฟ้าสีฟ้า ผมว่าฟ้าชมพู มันคือสีที่คู่กันได้อย่างลงตัวที่สุดแล้วจริงๆ (แต่เขาบอกว่าซากะรุของแท้ต้องสีขาวนี่นา)

เรากลับไปเที่ยวกันในเมืองอีกครั้ง เพราะตัวเมืองเก่าจะอยู่ที่ฝั่งตะวันออกโดยมีสถานีหลักคือที่ St. Enoch ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่คงความคลาสิกแบบเมื่อร้อยกว่าปีก่อนได้ดี ทั้งบรรยากาศ ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ธนาคารที่มุดตัวกลมกลืนกับความโบราณในย่านจัตุรัสกลาสโกว์ได้เป็นอย่างดี บ้านหรืออาหารบางหลังอายุมากกว่า 500 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่ก็มีครับ







โบสถ์กลาสโกว์ที่เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญทางตะวันตกของเมือง ปีที่ผมไปมีบางส่วนกำลังก่อสร้างอยู่ครับ เลยไม่ได้มีโอกาสเข้าชม โบสถ์นี้สร้างตั้งแต่ยุคกลางในยุคที่คนยังเชื่อเรื่องพ่อมดหมอผี และมีการล่าแม่มดกันตามคำสั่งของศาสนาจักรในช่วงศตวรรษที่ 4 โน่นเลย ด้านหลังโบสถ์เป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพของ Johm Nox ผู้ก่อตั้งนิกาย Church of Scotland ครับ
อย่างที่บอกครับ กลาสโกว์ผสมผสานความเก่าแก่ และความทันสมัยอย่างลงตัว ด้านทิศใต้ของเมืองเป็นที่ตั้งของศูนย์การศึกษาและสัญลักษณ์ของวิทยาการสมัยใหม่ อย่างสะพานไคลด์อาร์ค หรือสะพานชื่อเดิมคือสะพานสควินตี้ ใหเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมต่อไปยังโลกแห่งวิทยาการของกลาสโกว์ ก็เพราะจากสะพานแห่งนี้เราจะเห็นที่ตั้งพิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และศูนย์วิทยาการเทคโนโลยีใหม่ๆ ของกลาสโกว์ที่ชื่อ SCCC และหอประชุมประจำเมือง Clyde Auditorium ที่ได้รับการออกแบบมาในยุคมิลเลนเนียมจริงๆ ครับ รีวิวคงต้องจบลงที่สะพาน Clyde Arch และหอประชุมประจำเมืองกันแค่นี้นะครับ ใครสนใจอยากชมรูปภาพมุมเมืองต่างๆ ของกลาสโกว์คลิกที่ภาพสุดท้าย หรือ คลิกที่นี่ ได้เลยครับ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนเที่ยวกันนะครับ คราวหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนต่อ ขอรอกลับจากทริปยาวเมืองกาญจน ฮ่องกง และญี่ปุ่นก่อนนะครับ สวัสดีครับ

Comments