top of page

Zermatt l สวัสดีแมตเธอร์ฮอร์นที่แซร์มัท l รีวิวที่ ๓๙

  • เจไดไปด้วย
  • May 13, 2016
  • 1 min read

ร้อนๆ จังเลยเมืองไทยในเดือนพฤษภาคม ขนาดกินของเย็น อย่างเย็นตาโฟแล้วทำไมถึงยังไม่คลายร้อนอีกเลยนะ ยิ่งเปิดเฟสเห็นเพื่อนๆ เจไดหลายคนไปเที่ยวญี่ปุ่นบ้าง ยุโรปบ้าง นิวซีแลนด์บ้าง แล้วก็บ่นกันอุบว่าหนาวจังเล้ย ทำเอาแอ๊ดมินเจไดอยากไปคลายร้อนบนยอดภูพนมรุ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ร้อนขนาดนี้ขับรถไปบุรีรัมย์อาจจะเซ็งกลับมากับฟอร์มสุดบู่ของทีมลุงเนช่วงนี้ อาจยิ่งทำให้ร้อนไปอีก เปิดภาพไปเปิดมาก็มาเจอภาพแม็ตเตอร์ฮอร์นแล้วหวนนึกถึงบรรยากาศที่หมู่บ้านแซร์มัท สวิสเซอร์แลนด์แล้วก็พาให้เย็นลงบ้างไรบ้างครับ

จะเรียกว่าเมืองสำหรับแซร์มัทนี้ก็กระไรอยู่ จริงๆ แล้วเป็นชุมชนเล็กๆ น่าจะเรียกหมู่บ้านดีกว่า แต่เพราะความเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมของนักไต่เขาและนักเล่นสกีมาแล้วทั่วโลก และเกือบได้จัดโอลิมปิกฤดูหนาวมาแล้วด้วยนะ แต่สุดท้ายเมืองแซงโมริสอีกเมืองของสวิสได้โอกาสนี้ไป (ปล. นอกเรื่องหน่อยพูดถึงเมืองที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวเมืองแรกคือเมืองอะไร ติ๊กต่อก เป็นเมืองที่แอ๊ดมินเจไดชอบมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งเลยครับ คือ เมือง ชาร์โมนี ประเทศฝรั่งเศส เดี๋ยวจบจากแซร์มัทแล้วว่างๆ พาไปเที่ยวต่อที่ชาร์โมนีก็ได้ อยู่ไม่ไกลกันเท่าไร)

แซร์มัทเป็นเมืองใต้สุดของสวิสแล้วครับ ข้ามเขาไปอีกฝั่งก็อิตาลีแล้ว แต่คนที่นี้กลับพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เพราะเคยเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศสมาก่อนทั้งแถบไปจนถึงแถวเจนีวา โลซานส์ มองเธอร์ ดังนั้นภาษาที่นิยมแถบนี้จึงเป็นภาษาฝรั่งเศส แม้แต่ชื่อแซร์มัทก็เป็นสำเนียงภาษาฝรั่งเศส แต่จะเรียกว่าเซอร์แมทตามภาษาอังกฤษ เดี๋ยวนี้คงไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างไร

ไฮไลท์ของแซร์มัทที่ทุกคนหลงไหลอยากมาเยี่ยมชมสักครั้ง รวมถึงแอ๊ดมินเจไดด้วย เพราะแซร์มัทเป็นเมืองที่มองเห็นยอดเขาแมตเตอร์ฮอร์นได้สวยงามที่สุดแล้ว แอ๊ดมินเพ้อพร่ำอยากเห็นยอดเขานี้มาตั้งแต่เด็กๆ สมัยมัธยมต้นเลยโน้นครับ หนังสือภาษาอังกฤษได้บรรยายความงามอันแปลกประหลาดของยาวเขานี้ ไปพร้อมกับตำแหน่งจอมโหดที่คร่าชีวิตนักไต่เขามามากมาย เพราะสันฐานที่เป็นแท่งชันสูงแหลมทะลุฟ้านั้น การไต่เขาจึงค่อนข้างจะท้าทายและหลายคนก็มาจบชีวิตที่นี้ลงไปมาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้สถิติผู้เสียชีวิตนั้นน้อยลงทุกปีครับ ปี ๒๐๑๕ ที่ผ่านมาคือปีที่ครบรอบ ๑๕๐​ปีที่มีผู้พิชิตแมตเตอร์ฮอร์นได้ อ้อแม้ว่าเมืองแซร์มัทจะเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ชื่อแมตเตอร์ฮอร์น (Matterhorn) กลับเป็นภาษาเยอรมันที่มีคนพูดมากที่สุดในสวิส มีความหมายว่า Meadow Peak ซึ่งผิดกับภาพที่เห็นที่เรามักจะเห็นยอดเขานี้มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา

ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนแซร์มัทนั้น นอกจากอยากมาชมโฉมแมตเตอร์ฮอร์นแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คงอยากมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่แซร์มัทนี้ด้วย ใครที่มากับทัวร์ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะจัดเป็นทัวร์หนึ่งวันแบบมาถึงเย็น สายๆ กลับ หรือไม่ก็เช้าเย็นกลับ แต่ถ้าใครมีเวลามาอยู่ที่นี่สักสองสามวันจะรู้สึกรักเมืองนี้ไม่น้อย อย่างของผมก็จัดไปสามวันสามคืนกันเลยทีเดียวกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้

แซร์มัทเป็นเมืองที่มีอากาศบริสุทธิ์อันดับต้นๆ ของโลก ไม่เพียงเพราะภูมิทัศน์ที่สวยงามและภูมิอากาศที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูง ที่แซร์มัทเขายังกำหนดให้เป็นเมืองปลอดรถยนต์ด้วยครับ พาหนะภายในเมืองเป็นรถใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กทั้งหมด อาจอนุญาตให้รถจากภายนอกเข้ามาได้เป็นบางเวลา เช่น รถตำรวจกรณีเกิดเหตุใดๆ หรือรถส่งอาหาร ไปรษณียภัณฑ์ แต่ก็กำหนดไว้เป็นเวลา

เมื่อกำหนดให้เป็นเมืองปลอดมลพิษ บุคคลภายนอกอย่างเราจะเข้าไปในเมืองนี้สุดท้ายต้องไปหยุดกันที่เมืองแทซก่อน ไม่ว่าจะนั่งรถไฟมาก หรือขับรถมาอย่างพวกผม ซึ่งถ้าขับรถมาก็ไม่ถือว่าลำบากอะไรครับ เพราะที่เมืองแท๊ซ Tasch นี้ก็เป็นเมืองใหญ่ต้อนรับนักปีนเขาเหมือนกัน เลยมีอาคารจอดรถ (แบบเสียตังค์) ขนาดใหญ่โตจอดเหลือๆ สบาย ก็แหงมล่ะพวกผมไปกันประมาณเดือนพฤษภาคมที่อากาศยังไม่ค่อยเปิดเท่าไร และไม่ใช่น่าท่องเที่ยวด้วย เลยอยู่กันแบบหลวมๆ สบายครับ ถึงเมืองแท๊ซแล้วก็ต่อรถไฟไปที่แซร์มัทได้เลยประมาณสิบกว่านาทีก็ถึงครับ สถานีเดียวเอง อ้อมาถึงแล้วจะเจอภาษาต้อนรับมากมาย รวมถึงภาษาไทยด้วย นักท่องเที่ยวไทยยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครในโลกเลย เจไดฟันธง

มาถึงแล้วก้อพาไปรีวิวโรงแรมที่เราพักกันครับ ชื่อ Hotel Testa Gragia เดินจากสถานีรถไฟแค่ไม่กี่นาทีก้อถึงแล้วล่ะครับ เราพักชั้นบนสุด ซึ่งสามารถมองเห็นยอดแมตเธอร์ฮอร์นได้จากห้องพักเลย แต่ไม่เห็นหรอกครับบอกแล้วว่าเธอขี้อาย ตรงระเบียงมานั่งเล่นนี้ได้ไม่นานนะครับ หนาวมั่ก มีหิมะตกปรอยๆ ด้วย แม้ว่าจะเดือนพฤษภาคมแล้วก็ตาม

ภายในห้องพักครับ เป็นห้องน้ำและวิวที่มองจากห้องน้ำ โรงแรมนี้เป็นอีกโรงแรมที่ประทับใจมากๆ ครับ ที่ Hotel Testa Gragia เป็นอีกหนึ่งที่เราชอบมากเพราะเงียบสงบ อาจจะเพราะเป็นช่วงตัวเมืองที่เงียบสงบด้วย ทำให้นึกถึงตอนที่ไปชาร์โมนีปีที่แล้ว บรรยากาศเดียวกันเลย แต่ที่นี้ไม่มีรถยนต์วิ่งขวั่กไขว่ แต่ก็มีเสียงการก่อสร้างเนืองๆ เนื่องจากเมืองกำลังขยายตัวรองรับนักท่องเที่ยวในหน้าร้อนจากทุกมุมโลก แต่พอตกเย็นถึงค่ำ ก็แทบจะไม่มีคนเดินถนนแล้วครับ เราออกไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์กันสักสองทุ่มซึ่งยังสว่างอยู่ก้อไม่มีคนเท่าไรแล้ว จนกระทั่งวันศุกร์นั้นแหล่ะครับ ถึงจะได้คึกคึก สำหรับโรงแรมเรายังคงประทับใจในบริการที่เป็นกันเองของคุณลุงไซม่อน ที่แม้จะหน้าดุหน่อยๆ แต่เรารักแกมาก และสนิทกันเพราะเป็นเพื่อนคุยกันตลอดเวลา เอาบะหมี่มาให้เรากินฟรีๆ อีก จนกระทั่งแกยุ่งๆ ในวันที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเช็คอินมากขึ้น และในวันที่กลับแกก็ออกเวรไปแล้วอีก พวกเรายังคิดถึงแกอยู่เลยครับ อ้าวกลายเป็นมารีวิวพนักงานซะงั้น ตัวห้องพักสะอาดสะอ้านมากครับ ทั้งในห้องน้ำด้วย กว้างขวาง น้ำอุ่นดี น้ำแรงด้วย แช่น้ำ (แต่ชมวิวม่ายได้) สบายอุ่นๆ กับในคืนที่อุณหภูมิต่ำกว่า ๐ องศา กาแฟฟรีอยู่แล้ว แต่มีเครื่องชงกาแฟแบบ Netpresso (แต่ไม่ใช่ยี่ห้อนี้หรอก การทำงานเหมือนกัน) ให้ฟรีๆ ด้วย แต่เราเอาน้ำร้อนมาต้มมาม่ามากกว่าครับ โทรทัศน์ชัดเปรี๊ยะแม้จะมีแต่ภาษาเยอรมันก้อเหอะ (แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้อิตาลีนะ) ไม่รู้เรื่องเลย เวลาของเราก้อเหมือนหยุดลง เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันสบายๆ เมืองก่อเล็กๆ เดินสักชั่วโมงก้อรอบแล้ว แต่ต้องอยู่หลายวัน เพราะผมต้องการเห็นแมตเตอร์ฮอร์นให้ได้สิเอ้า เลยจองที่นี่เลย ๓​วัน ๒​คืน เวลากลางวันที่นี่เลยเรียกได้ว่าพักผ่อนจริงๆ เปิดระเบียงรับลมได้แค่ ๓ นาที ก้อต้องปิดแล้ว เปิดโทรทัศน์ดูประกวด The Voice ของเยอรมัน แปลกดี เหมือนกับเป็นสถานที่เดียวที่ได้มาพักร้อนจริงๆ เป็นพักร้อนในตำนานเลย ในขณะที่ความซุกซนของผมในวันๆ แทบจะไม่ได้อยู่ในห้องพักเลย เพราะต้องออกไปสำรวจโลกประจำ

ในวันแรกๆ ที่มาถึง สมกับเป็นดาราครับ ต่อให้ฟ้าใสยังไง ยอดแมตเตอร์ฮอร์นก็ปกคลุมไปด้วยเมฆตลอดเวลา ผ่านวันแรกเมฆบังจนแทบจะไม่รู้เลยว่ายอดเขาอยู่ตรงไหน วันที่สองนั้นแหล่ะครับ เริ่มเห็นสันฐานบ้าง แต่ก็ไม่เห็นยอดอยู่ดี มานั่งเฝ้านั่งลุ้นกันทั้งวันจนดึกเป็นไข้กันเลยคืนนั้น ก็ยังไม่เห็นอยู่ดี เริ่มสายๆ วันที่สามล่ะครับ เริ่มเห็นสัญญาณเหนือยอดแล้วว่าเมฆเริ่มน้อยลง ลุงไซม่อนยืนยันกับเราว่าถ้าไม่เห็นภายในเย็นนี้ พรุ่งนี้เห็นชัดอีกทีก่อนวันเรากลับ อะไรจะเล่นตัวเก่งเหมือนฟูจิแบบนั้น ไม่เมืองมองบลังเห็นจะๆ แบบขึ้นไปเห็นกันบนยอดเลย แต่เพราะความที่เมฆปกคลุมตลอดเวลาก็ช่วยให้เราไม่ต้องเสียตังค์นั่งกระเช้าขึ้นไปดูได้เหมือนกันครับ เพราะด้านล่างจะมีจอโทรทัศน์ให้เราเห็นภาพข้างบนนั้น ซึ่งขาวโพลนตลอดเวลาเลย ทริปนี้เราเลยไม่ได้ขึ้นกระเช้ากันเลย

และอย่างที่ลุงไซม่อนแกบอกไว้ ในที่สุดบ่ายๆ วันที่สามเราก็ได้เห็นแมตเตอร์ฮอร์นเต็มๆ แล้ว แม้ว่าตอนบนจะยังมีเมฆปกคลุมอยู่ แต่เราเห็นสันฐานแล้ว พวกผมไม่ได้ปีนเขาหรอกครับ ปีนไม่เป็น ก็เลยไ้ด้แต่นั่งลุ้นก้นอยู่ข้างล่างมากกว่า และในวันที่เราได้เดินทางกลับนั้นล่ะครับ ถึงได้เห็นยอดเต็มกันเสียที แม้จะมีเมฆบ้างแต่เรียกว่าเห็นได้อย่างสวยงามอย่างที่รอคอยมาชมได้จริงจังแล้วครับ

จบแล้วล่ะครับ สำหรับเมืองน่าฝันหวานอย่างแซร์มัท ใครมีโอกาสก็อย่าลืมไปสวัสดีทักทายแมตเตอร์ฮอร์นกันบ้างนะครับ สำหรับภาพถ่ายใหญ่ๆ นั้นเพื่อนเข้าไปชมในห้องแกลอรี่แล้วเลือกดูที่ประเทศสวิสได้เลยครับ สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์นะครับ

Comments


Recent Travels
bottom of page