top of page

Cologne Germany l หอมกลิ่นเมืองโคโลญจน์ l รีวิวที่ 36

  • Writer: Angklish Kittichai Singha
    Angklish Kittichai Singha
  • Apr 15, 2016
  • 1 min read

สวัสดีครับมาถึงรีวิวฉบับที่ ๓๖ แล้วครับ คราวนี้พาออกนอกประเทศไทยกับญี่ปุ่น กลับไปแถวยุโรปบ้าง เห็น facebook แต่ละคนอัปยุโรปกันหนุกหนานเลยช่วงสงกรานต์ เห็นแล้วอิจฉาเลยครับ เลยงัดเอาความทรงจำเก่าๆ มาอวดกันบ้าง คราวนี้แอ๊ดมินพาไปเที่ยวเมืองโคโลญจน์ เมืองของชาวเยอรมัน แต่หอมกลิ่นฝรั่งเศสครับผม

เป้าหมายก็คืออยากมาชม Koln Dom หรือวิหารโคโลญจน์ อดีตอาคารที่สูงที่สุดในโลกมาก่อน ผมเคยไปสตาร์บูร์กที่อัลซาสมาก่อน วิหารที่นั้นเคยครองอาคารที่สูงที่สุดในโลกมาก่อนที่จะถูกแซงโดย Koln Dom

Cologne Cathedral มีชื่อเป็นทางการว่าวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งโคโลญจน์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของอาร์คบิชอฟแห่งโคโลญจน์ในปี พ.ศ. ๑๗๙๑ แต่ก็สร้างไม่เสร็จ มาเสร็จครึ่งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๖๑ และเพิ่งมาครบเป็นองค์ทั้งหลังแบบที่เห็นนี้ในปี ๒๔๒๓ นี่เองครับ เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกมาก่อนในยุคกลางด้วยความสูงถึงยอด ๑๕๗ เมตรครับ

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วิหารถูกระเบิดลงถึง ๑๔​ครั้ง แต่ก้อไม่พังทลายลงมา ซ้ำยังยืนตระหง่านท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองโคโญจน์ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการให้คงเหลือวิหารไว้เพื่อมาร์คจุดที่จะทิ้งระเบิดในส่วนต่างๆ ของเมืองด้วยครับ ในปี ๒๕๓๙ มหาวิหารโคโลญจน์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม แต่อีก​๘ ปีต่อมาก็เป็นมรดกโลกที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่รอบข้างวิหาร จนเทศบาลนครโคโลญจน์ต้องออกกฎหมายควบคุมอาคารในปี ๒๕๔๙ นั้นเองครับ รวมถึงปัจจุบัน มหาวิหารโคโลญจน์มีอายุยาวนานท้ายุคสมัยมาถึงเกือบ ๘๐๐ ปี ร่วมสมัยเมืองเชียงใหม่เลยครับ

นอกเหนือจากมหาวิหารโคโลญจน์แล้ว ไอค่อนการท่องเที่ยวอีกอย่างหนึ่งของเมืองก็คือสะพานพุทธ เอ้ยไม่ใช่สะพานโฮเฮนโซลเลน เป็นสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ และโบสถ์แซงมาร์แตงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันครับ อ้อที่โคโลญจน์เนี่ยเข้าพูดภาษาฝรั่งเศสกันนอกเหนือจากภาษาเยอรมันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบที่จะมาถ่ายรูปเมืองโคโลญจน์ยามดึกครับ เพราะแสงสีไฟของเมืองที่สะท้อนมากับแม่น้ำไรน์ที่ไหลนิ่งเหมือนกระจกเลยครับ แต่ผมอด ช่วงที่ไปเป็นช่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิ กว่าจะดึกก็สามทุ่ม ยังโพล้เพล้อยู่เลย จะรอให้ถึงสี่ทุ่มไม่อยากทรมานคนที่ไปด้วย ตัวผมเองน้ำมูกเริ่มไหลแล้ว ต้องขออภัยด้วยนะครับไม่มีรูปยามดึกมาฝากเลยครับ

ของผมพักอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามที่เป็นเมืองใหม่ ก้อเลยนั่งรถรางมาดูวิวได้บ่อยหน่อยครับ อากาศหลังฝนพรำยิ่งเย็นๆ เดือนพฤษภาที่นี่มันคนละขั้วกับบ้านเราเลย มาเที่ยวแรกๆ ทุกๆ ทีก้อคิดถึงบ้าน และพออยู่ไปนานๆ แล้วยิ่งไม่อยากกลับเลย (งานกองพะเนินแน่ๆ) ลมตึงๆ ตีหน้า แหม่มันอยากหยุดเวลาไว้ที่นี่จริงๆ ข้ามสะพานโฮเฮนเซาเรนไปเที่ยวกันในเมืองครับ

โคโลญจน์ไม่ใช่เมืองใหญ่แต่ก้อไม่ใช่เมืองเล็ก การเลือกซื้อพวกเดย์พาสไว้นั่งรถไฟใต้ดินก้อเป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับคนที่เดินไม่ไหว แต่ถ้ายังอายุไม่เยอะเดินเอาก็ได้ครับ สักวันหนึ่งก็หมดทั้งเมืองแล้ว แล้วค่อยซื้อเป็นตั๋วไปหากต้องการนั่งออกไปนอกเมืองไกลๆ แต่จริงๆ ก็ไม่จำเป็นเท่าไรครับ มีในหลายมุมเลยที่คนไม่ค่อยเยอะมาก ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแต่ก้อสวยงาม

null

โคโญจน์เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ ๔ ในเยอรมันรองจากเบอร์ลิน แฮมบูร์ก และมิวนิค อยู่ในแคว้น North Rhine-Westphalia เป็นเมืองโบราณที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโรมันครองเมืองแล้วประมาณเมื่อราว ๓๘ ปีก่อนคริสตกาลในชื่อเมือง Oppidum Ubiorum เมืองโคโลญจน์มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงราวปี พ.ศ. ๕๙๓ ก็กลายเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของตอนเหนือของแม่น้ำไรน์ตอนเหนือ ในชื่อเมือง Colnia Claudia Ara Agrippinensium หรืออาณานิคมคลอเดียอารา

ในช่วงต้นของยุคกลางเมืองโคโลญจน์เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นออสเตรเชียแห่งจักรวรรดิเผ่าแฟรงค์ มีช่วงสั้นที่เป็นนครรัฐอิสระในราวปีพ.ศ.๑๘๓๑ ความที่เป็นเมืองใหญ่ริมแม่น้ำไรน์ เมืองโคโลญจน์จึงกลายเป็นเมืองท่าการค้าภายในทวีปที่สำคัญของยุโรป (ยุคนั้นยังไม่มีใครเดินทางออกทะเลไปค้าขายครับ) ในช่วงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ จักรวรรดิได้ให้ความสำคัญกับนครแห่งนี้ด้วยการประกันความเป็นนครรัฐอิสระและอนุญาตให้มีกองกำลังทหารของตัวเองอีกด้วย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการต่อต้านทหารของฝ่ายกองทัพของฝ่ายปฏิวัติฝรั่งเศสที่พยายามขยายอิทธิพลมายังดินแดนลุ่มแม่น้ำไรน์ด้วย

นครโคโลญจน์สูญเสียความเป็นอิสระของตนเองตามสนธิสัญญาลูเนวิลในปี ๒๓๔๔ (ใกล้ช่วงปลายรัชสมัยที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ที่จักรวรรดิ์โรมันศักดิ์สิทธิได้ทำไว้กับสาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำไรน์เป็นของฝรั่งเศส เมืองโคโลญจน์จึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนเมืองเก่าที่มีมหาวิหารตั้งอยู่เป็นของฝรั่งเศส เรื่อยมาจนถึงในยุคของจักรพรรดินโปเลียน จนกระทั่งชัยชนะของเยอรมันต่อนโปเลียนในสมัยต่อมา โคโลญจน์จึงกลับคืนสู่เยอรมัน เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรปรัสเซีย

ในช่วงสั้นๆ ของสงครามโลกครั้งที่ ๑​ ที่เยอรมันพ่ายแพ้ต่อฝ่ายพันธมิตร เมืองโคโลญจน์ก้อตกไปอยู่ในการครอบครองของอังกฤษตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ก่อนสุดท้ายจะกลับคืนเป็นของเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมืองจะโดนถล่มด้วยฝูงบินทิ้งระเบิดถึงพันลูกภายใต้ชื่อปฏิบัติการ Operation Millennium ซึ่งทิ้งระเบิดใช้เวลานานถึง ๗๕ นาที เผาผลาญเมืองไปถึง ๖๐๐ กว่าเอเคอร์ มีพลเรือนเสียชีวิตทันที ๔๘๖ คน และกว่าหกหมื่นคนไร้ที่อยู่อาศัย แม้ว่าจะสูญเสียสิ่งสำคัญไปในสงคราม แต่เพราะชัยภูมิที่ดีและความมุ่งมั่นของชาวเมืองก็บูรณะเมืองโคโลญจน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของยุโรปในยุคฟื้นฟู ส่งผลให้โคโลญจน์กลายเป็นเมืองที่มีมลภาวะสูงที่สุดในเยอรมันและในลุ่มน้ำไรน์ จนต้องออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษมากมายที่ยังตกค้างมาถึงปัจจุบัน และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ปัจจุบันโคโลญจน์เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีอากาศดีไม่แพ้เมืองอื่นๆ ในเยอรมันเลย ว่างๆ ใครมีโอกาสไปเที่ยวอย่าลืมแวะหรือพักที่โคโลญจน์ และที่สำคัญอย่าลืม 4711 เอามาฝากสาวๆ บ้างก็ดีนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับผม

ปล. เข้าไปชมภาพเมืองโคโลญจน์และเมืองต่างๆ ของเยอรมันได้ที่ห้องภาพ เลือกเยอรมันและเลือกเมืองต่างๆ ได้นะครับ ขอบคุณที่ติดตามชมครับ

Comentarios


Recent Travels
bottom of page